กยท. จับมือบูรณาการร่วม GIZ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ EUDR ขับเคลื่อนยางพาราไทยทั้งระบบส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป
กยท. จับมือบูรณาการร่วม GIZ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ EUDR ขับเคลื่อนยางพาราไทยทั้งระบบส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป
วันที่ 27 ม.ค. 68 ณ โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา — การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นำโดย นายโกศล บุญคง รองผู้ว่าการด้านบริหาร กล่าวต้อนรับในการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หัวข้อ “โอกาส ความท้าทายและแนวทางแก้ไขร่วมมือกันเพื่ออนาคตที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า“ เพื่อแลกเปลี่ยนความเข้าใจ ความพร้อม และมุมมองต่อกฎหมาย EUDR ในภาคส่วนยางพาราของประเทศไทย
นายโกศล กล่าวว่า ทั่วโลกมีความตระหนักและความกังวล ในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องปรับตัวให้ทัน จึงใช้โอกาสนี้หารือร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสต่างๆ ดังนั้น การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นเวทีที่มีประโยชน์สำหรับภาคเอกชนและภาครัฐในการระบุปัญหาและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากการทำลายป่า ซึ่งหวังว่าความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ที่ได้รับจากวิทยากร ทีมงานของ GIZ ในครั้งนี้ จะสามารถนำไปปรับปรุงโมเดลของอุตสาหกรรมยางพาราและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบในอนาคตได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้อุตสาหกรรมยางพาราของประเทศไทยมีความยั่งยืนต่อไป
นายโกศล กล่าวเพิ่มเติมว่า มุมมองของผู้ประกอบการยางพาราต่อ EUDR จะเป็นโอกาสในการสร้างความยั่งยืนและมั่นคงในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทาน สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ในขณะที่หลายๆ ประเทศ ก็เริ่มให้ความสำคัญและตื่นตัวต่อกฎระเบียบ EUDR พร้อมเริ่มมีมาตรการเรื่องการให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เป็นต้น ตลอดจนเป็นโอกาสในการให้ประเทศผู้ผลิต และผู้นำเข้า-ส่งออกของตลาดสหภาพยุโรปตระหนักและให้ความสำคัญในการดำเนินการในการปฏิบัติตามหลักหรือกฎหมายสากล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างฐานข้อมูล (Data) เพื่อสร้างมูลค่าในแนวทางใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายๆ ข้อกังวลและปัญหาจากผู้ประกอบกิจการยางพารา เช่น กระบวนการการรับผิดหากเกิดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตาม EUDR ซึ่งยังขาดความไม่ชัดเจน, ต้นทุนในการรวบรวมข้อมูลที่เพิ่มขึ้น, ความปลอดภัยของของสารสนเทศ, กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับที่ยังไม่มีรูปธรรม และมาตรฐานในการตีความ EUDR ของแต่ละประเทศใน EU ไม่เหมือนกัน ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลที่เป็นเอกภาพและรูปแบบเดียวกัน ตลอดจนความคาดหวังราคาผลผลิต (ราคาพรีเมียม) ของเกษตรกร เป็นต้น
“ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการผลิต จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการการส่งเสริมการไม่ตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงไม่ทำให้ป่าให้เกิดความเสื่อมโทรม ในฐานะ กยท. ที่มีความพยายามในการขับเคลื่อนและบริหารจัดการผลผลิต การตลาด การตรวจสอบย้อนกลับภายใต้ EUDR ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการจัดการทั้งระบบของห่วงโซ่อุปทานยางพารา” นายโกศล กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวประชาสัมพันธ์ กยท.