“พระรัตนสุธี” ชี้แนวทาง “ทำอย่างไรให้ใจพ้นทุกข์” กับ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ”
มนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมหนีไม่พ้นปัญหา และความทุกข์ทั้งสิ้น แต่จะมีสิ่งใดที่ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้น ไม่ติดกับดักของปัญหา “พระรัตนสุธี” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม ได้มาเฉลยสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากปัญหา พ้นจากทุกข์ ในหัวข้อ “เมื่อเจอปัญหา สติปัญญาเท่านั้นที่ช่วยพ้นทุกข์ได้” บนเวทีธรรมบรรยาย “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่
พระรัตนสุธี กล่าวถึงศาสนาพุทธว่า เป็นศาสนาแห่งสติปัญญา ไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ เพราะคำว่า พุทธะ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระพุทธเจ้าใช้สติปัญญาตรัสรู้ธรรม ที่ไหนมีรู้ ที่ไหนก็มีสติปัญญาที่นั่น สติปัญญาต้องพูดคู่กัน พูดปัญญาอย่างเดียวไม่ได้ สำคัญคือ ถ้าคนไม่มีสติก่อนปัญญาก็ไม่เกิด ทำอย่างไรถึงจะเรียนรู้สติปัญญาให้มาก และฝึกสติปัญญาให้มาก เพราะสติปัญญายกระดับจิตของคนให้เป็นมนุษย์ จากสัตว์ก็เป็นคน สัตว์เดรัจฉานมีความสามารถรู้ยิ่งกว่าคนเพราะจะพ้นทุกข์แล้ว พอหมดสภาวะพ้นทุกข์จากสัตว์เดรัจฉานก็จะมาเป็นคน คิดกลับกันถ้าเราเป็นคนเราไม่พัฒนาเรื่องการยกระดับจิตใจคือใช้สติปัญญาเราก็ต้องกลับไปเป็นอะไร
ท่านอธิบายถึง “บุญ” คือ ความดี อะไรที่ดีคือ เป็นบุญ บุญคือความดีที่ถูกต้องและมีประโยชน์ สิ่งที่ถูกต้องดีมีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น เอาอะไรทำบุญ กาย วาจา ใจของเรา ไม่ใช่เอาเงินทำบุญ แต่เงินที่ทำบุญก็เกิดจากความดีที่เรากระทำ เพราะการทำบุญ คือ การทำดีที่ทำด้วยกาย วาจา ใจ ส่วนบาป ความไม่ดีความไม่มีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ใช้อะไรทำ ทำบาปแล้วไปไหน ทำบุญแล้วไปไหน สวรรค์กับนรกอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่เดียวกัน ใจจึงเป็นใหญ่กว่ากาย วาจา ที่ทำทุกอย่างได้เพราะใจทำหน้าที่คิดนึก คิดดี นึกดี ก็จะพาไปทำดี เมื่อเราคิดดีแล้วเราก็จะพูดดีก็ยิ่งเพิ่มบุญเข้าไปอีก การคิดทำให้เกิดสติปัญญา ถ้าคนไม่มีสติปัญญาคิดยังไง ก็คิดไม่ออกหมดปัญญา
ท่านเจ้าคุณบอกว่าสติปัญญามีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ คือ สติปัญญาทางโลก และสติปัญญาทางธรรม สติปัญญาทางโลกก็ดีไม่ใช่ไม่ดี แต่คนเขาวิเคราะห์วิจัยกันไว้ว่า ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ปัญญาทางโลกเรียนไปเพื่อไปพัฒนาเพิ่มปัญหาชีวิตและเพิ่มตัณหา ตัณหา คือ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเด่น อยากดัง อยากโชว์โอ้อวด อยากกินข้าวกินน้ำ แต่เราระงับความอยากได้ถ้าเรามีสติปัญญา ส่วนพวกที่ระงับไม่ได้เพราะไม่มีสติปัญญาทางธรรม สติปัญญาเป็นธรรมะตัวหนึ่ง ธรรมะเป็นโอสถ ธรรมะเป็นยารักษาโรคได้ โรคอะไรที่หมอรักษาไม่หาย เบาหวาน ความดัน ไขมัน ในโลกมียา 1 อย่างที่ยังไม่มียารักษาโรค โรคอิจฉาตาร้อน โรคโกหก โรคโกรธ โรคโลภมาก ไม่มียาแก้แล้วโรคนี้ระบาดยิ่งกว่าโควิด-19 อีก อยู่ที่ไหนคนเป็นโรคนี้เดือดร้อนที่นั่น วุ่นวายไปหมด ธรรมะโอสถแก้ได้ แก้โรคโลภมาก โรคหลงตัวเองมากว่าสวย มีชื่อเสียง มีตำแหน่ง หลงแบบนี้ไม่ใช่หลงทาง หลงตนลืมตัว เหมือนวัวลืมเท้า ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาชีวิต ไม่มีอะไรแก้ต้องเอาสติปัญญาแก้ ต้องพัฒนาตนเองให้มีสติปัญญาทางธรรมก่อน สติปัญญาทางโลกแก้ไม่ได้
สติ คือ ความนึกได้ ระลึกรู้ได้ สติเป็นสิ่งที่มีประโยขน์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เรื่องแรก ความไม่ประมาท การประมาท คือการอยู่ปราศจากสติปัญญา สติปัญญาคือแสงสว่างที่สู้ไม่ได้
ปัญญา เกิดได้ 3 ทาง 1. สุตมยปัญญา เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน เรียนรู้ ตาดูหูฟัง 2. จินตมยปัญญา เกิดจากการคิด โบราณบอกว่าจนอะไรก็จนได้ อย่าจนปัญญาหมดความคิด 3. ภาวนามยปัญญา การอบรมบ่มเพาะธรรมบ่อยๆ จะเกิดความชำนาญ ภาวนาคือการทำให้มันเกิดขึ้น ปัญญาในทางธรรมเป็นทางดีอย่างเดียวที่ให้ผลแก่ความสุขความเจริญพ้นจากทุกข์
ท่านสรุปให้ฟังว่า สติปัญญา คือ การรู้จริง ตาดูหูฟัง ต้องมีหลักคิด คนอยากจะรวย ต้องขยันและรู้จักเก็บออม ศึกษาความรู้ในเรื่องสติปัญญาทางธรรมให้มาก แล้วนำมาใช้นำมาภาวนา แล้วจะพ้นทุกข์ทั้งหมดธรรมมะคุ้มครองเราถ้าเรามีสติปัญญาเท่าไหร่ก็คุ้มครองเราเท่านั้น
สำหรับผู้สนใจร่วมฟังธรรมบรรยายดี ๆ ในโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” ห้อง 1111AB ชั้น 11 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม กรุงเทพฯ หรือติดตามรับชมผ่านระบบ live สด ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00 – 13:30 น. ทางช่องทาง facebook fanpage CPALL และสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน